มาร์คัส แรชฟอร์ด อดีตเด็กดาวรุ่งที่มากด้วยพรสวรรค์ ที่เจริญก้าวหน้ามาจากรั้ว โอลด์ แทรฟฟอร์ด ก่อนที่จะพัฒนาฝีเท้าในการเล่นฟุตบอล จนกลายมาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง เป็นความหวังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ณ เวลานี้ จนได้รับฉายาว่า เป็นเจ้าชายแห่งอังกฤษ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งกราบซ้าย และเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
มาร์คัส แรชฟอร์ด (Marcus Rashford) เกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1997 ที่ เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เขาเกิดในครอบครัวที่มีฐานะยากจน โดยที่คุณแม่เขา มีลูกถึง 5 คน แถมยังเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวอีก
สำหรับ แรชฟอร์ด เริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางลูกหนัง ตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ กับศูนย์ฝึกเยาวชน สโมสร เฟล็ทเชอร์ มอสส์ เรนเจอร์ส ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลในระดับเยาวชนของท้องถิ่น เป็นที่ ที่ปั้นนักเตะให้สโมสรฟุตบอลมากมาย และยังเป็นที่ปั้นผู้เล่นทั้งในอดีต และปัจจุบันของทัพปีศาจแดง มาแล้วหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เวส บราวน์, เจสซี่ ลินการ์ด และ แดนนี่ เวลเบ็ค เป็นต้น
ในปีแรกกับทีม แรชฟอร์ด เขาเริ่มเล่นเป็นผู้รักษาประตูมาก่อน เพราะชื่นชอบ ทีม ฮาวเวิร์ด อดีตนายทวารชาวสหรัฐฯ ของปีศาจแดง
ต่อมาในวัย 7 ขวบ ได้ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมเยาวชนของ แมนเชนเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2005 แม้จะมีทีมใหญ่ๆมากมายที่ให้ความสนใจ แมนซิตี้ และลิเวอร์พูล แต่สุดท้ายก็เป็นปีศาจแดง ที่ได้ลายเซ็นเจ้าหนูคนนี้ไป โดยได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชายเขา ที่ช่วยให้เขาตัดสินใจเลือกอยู่ใน ถิ่น โอล แทรฟอร์ด นับจากวันนั้น เขาได้ลงเล่นให้ทีมชุดเยาวชนอย่างต่อเนื่อง มีผลงานที่น่าประทับใจ เป็นเวลายาวนานกว่า 10 ปี จึงถูกดึงตัวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2015 ด้วยในวัย 18 ปี ในยุคที่ หลุยส์ ฟาน กัล เป้นกุนซือ
ก่อนที่ แรชฟอร์ด จะได้โอกาสลงประเดิมสนามนัดแรกให้กับ ปีศาจแดง ในศึกยูฟ่า ยูโรป้า ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2016 เนื่องจาก อ็องโตนี่ มาร์กซิอัล ได้รับอาการบาดเจ็บ ซึ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านถล่มเอาชนะ มิดทิลแลนด์ ทีมจากเดนมาร์ก ไปด้วยสกอร์ 5-1 โดย แรชฟอร์ดไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือไป เขาจัดการเหมาถึง 2 ประตูในเกมนัดนั้น ส่งผลให้เขากลายเป็นนักเตะแมนฯยูที่อายุน้อยที่สุด ที่ทำประตูได้ในเกมยุโรป ด้วยวัยเพียง 18 ปี 117 วัน ทำลายสถิติของ จอร์จ เบสต์ ปีกชาวไอร์แลนด์เหนือ ฉายา เทพบุตรมหาภัย ที่เคยทำไว้ในวัย 18 ปี 158 วัน ก่อนที่สถิติของ แรชฟอร์ด จะถูกเมสัน กรีนวู้ด ดาวยิงรุ่นน้อง ทำลายลง ลงในฤดูกาล 2019-2020 หลังจากนั้น 3 วัน แรชฟอร์ด ได้มีโอกาสประเดิมศึกพรีเมียร์ลีก และได้แจ้งเกิดเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ กับผลงานอันสุดยอดของเขา หลังซัดไป 2 ประตู และ 1 แอสซิสต์ ในการเอาชนะ อาร์เซนอล ด้วยสกอร์ 3-2
หลังจากที่ได้พิสูจน์ตัวเอง ด้วยการสร้างผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เจ้าตัวได้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักและเป็นความหวังของทีมในการทำเกมรุกอย่างเต็มตัว และในฤดูกาล 2019-2020 และ ฤดูกาล 2020-2021 เขาสามารถทำประตูได้เกิน 20 ประตูของทุกรายการอีกด้วย พร้อมกับความสำเร็จในการคว้าแชมป์ ไม่ว่าจะเป็น แชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก 1 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย, ลีก คัพ 1 สมัย, เอฟเอคอมมิวนิตี้ ชิลด์ 1 สมัย และรางวัลส่วนตัวอื่นๆ
ด้วยการที่เติบโตมาจากครอบครัวยากจน จึงทำให้เขาเข้าใจถึงความยากลำบาก และได้มองเห็นว่า การเสียสละ เพื่อช่วยเหลือคนอื่น มีคุณค่ามากเพียงใด เขาจึงทุ่มเทแรงกายแรงใจในการรณรงค์และระดมทุน ทำกิจกรรมการกุศล ช่วยเหลือชีวิตผู้คนนับล้าน เพื่อให้รัฐบาลมองเห็นและให้ความสำคัญกับเด็กๆ ยากไร้ ทำให้เขา ได้รับเกียรติคว้ารางวัลบุคคลนักรณรงค์แห่งปี โดยนิตยสารชื่อดังระดับโลก (GQ) จากผลงานช่วยเหลือเด็กหิวโหย และคนไร้บ้านในอังกฤษ และยังได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์จักรวรรดิบริติชชั้นเอ็มบีอี จากควีนเอลิซาเบธที่ 2 และรางวัลพิเศษในการประกาศรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมแห่งปี BBC Sports Personality of the Year Award ซึ่งนั่นทำให้เขาถือเป็นฮีโร่ของผู้คนในประเทศอังกฤษ
ในนามทีมชาติ แรชฟอร์ด ลงเล่นตั้งแต่สมัยเป็นเยาวชน ครบทุกรุ่นเริ่มตั้งแต่ U16,18,20,21 จนถูกเรียกตัวติดชุดใหญ่ สิงโตคำราม ตอนที่เขาระเบิดฟอร์มสุดยอดกับ ปีศาจแดง ในฤดูกาล 2015-2016 ในนัดอุ่นเครื่องกับทีมชาติออสเตรเลีย เฉือนเอาชนะไปได้ 2-1 เมื่อปี 2016 ซึ่งเขานักเตะอายุน้อยที่สุด ที่สามารถทำประตูในนามทีมชาติอังกฤษด้วยวัยเพียง 18 ปี 6 เดือน 26 วัน
นี้คือบททดสอบสำหรับเขาว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน กับสโมสรแมนฯยูและทีมชาติอังกฤษ แม้ว่าบทบาทนักฟุตบอลของมาร์คัส แรชฟอร์ด เวลานี้ยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่เขาคือ “ฮีโร่” ของสังคม ที่เห็นแก่ส่วนรวม สิ่งนี้มันคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง